อืม.... สวัสดี นี่บันทึกของผมเองนะ เอ่อ ผมชื่ออะไรไม่ต้องสนใจหรอก ผมก็แค่อยากจะเขียนบันทึกนี้ขึ้นมาก็เท่านั้นแหละ เพราะว่า มันควรค่าแก่การจดจำจริงๆ ถึงจะเป็นช่วงเวลาไม่นานนัก แต่ก็นะ มัน.... มีคุณค่า
ผมเป็นฟรีแลนซ์น่ะนะ ทำงานทุกอย่างเท่าที่จะทำได้ นี่ก็พึ่งจะครั้งแรกเท่านั้นที่เคยเดินทางออกต่างประเทศน่ะ คือ... ผมซื้อทัวร์ราคาถูกเพื่อมาที่ญี่ปุ่น ไม่เข้าใจเหมือนกันนะว่าทำไมถึงต้องญี่ปุ่น คงเพราะว่าผมเองก็จนเกินกว่าจะไปซื้อทัวร์ที่มันไกลกว่านี้ ไกลออกไป... เกินกว่าที่จะจำว่าเหตุผลจริงๆที่มาที่นี่คืออะไร ผมแค่หลีกหนีบางอย่างที่คอยกัดกินหัวใจของผมแค่นั้นแหละ แต่ดูเหมือนว่า การเดินทางออกมาไกลแสนไกล เรื่องที่คั่งค้างในใจก็ไม่เคยที่จะหนีหายไป
ผมนอนทิ้งตัวเท้งเต้งในวันสุดท้ายก่อนที่จะกลับกรุงเทพ การมาเที่ยวครั้งนี้ไร้ค่าสิ้นดี เสียเงินเพื่อมานอนจมในห้องสี่เหลี่ยมแคบๆนี่ จริงๆคือ ผมแค่มากับทัวร์นั่นแหละ แต่ก็ไม่คิดว่าจะไปกับคนพวกนั้นหรอก หรือไม่ พวกเขาเองก็ไม่ได้อยากร่วมทางกับผมเท่าไหร่นัก ไกด์ทัวร์ไม่ขานชื่อผมด้วยซ้ำ แต่ก็ดีแล้วนี่ การเป็นคนที่ถูกทิ้งเป็นเรื่องปกติที่ผมควรจะชินชามันได้เสียที
หลังจากอุดอู้และเสียเวลากับการจัดแจงของที่ต้องเตรียมตัวกลับในวันพรุ่งนี้ ในห้องๆนี้ มันรู้สึก คับแคบ อึดอัด เหมือนถูกโซ่ตรวนบางอย่างพันธนาการผมเอาไว้ อาจเพราะขนาดของมันก็ได้นะ แค่แลบท็อปกับอุปกรณ์ชาร์จมือถือก็กินพื้นที่บนหัวนอนไปเสียหมดแล้ว ส่วนตัวผมได้แต่นอนคุดคู้เท้าเลยปลายเตียงอยู่นี่แหละ ไม่ไหวจริงๆ ไม่มีอะไรช่วยเลยแฮะ
ผมนั่งใช้เวลาครุ่นคิดอยู่นานว่าควรทำอะไรก่อนที่จะกลับดี อย่างน้อยมาญี่ปุ่นก็คงต้องไปเที่ยวมั่งแหละน่า คิดได้แค่นั้น ผมจึงตัดสินใจหยิบแค่โทรศัพท์มือถือ กระเป๋าสตางค์ และกุญแจห้องออกมา คิดว่าน่าจะมีอะไรที่พอจะทำในเวลานี้ได้บ้างไม่มากก็น้อยแหละนะ
เพียงไม่กี่ช่วงตึกจากโรงแรมรูหนูที่ผมอยู่นั้นมีสวนสาธารณะอยู่ด้วยแฮะ ผมดูจากป้ายแนะนำนักท่องเที่ยวน่ะนะ ก็ไม่ไกล บรรยากาศช่วงไม่เช้าไม่สายแบบนี้ก็น่าจะโอเคดี อากาศที่นี่ เย็นกว่าบ้านเราเยอะเลยแฮะ
“สวนสาธารณะโตเกียว” ชื่อมันเขียนไว้แบบนั้น เหมือนผมจะมาได้ถูกช่วงเวลาแฮะ บรรยากาศดีเป็นบ้าเลย ต้นซากุระกำลังผลิดอกบานสะพรั่งเป็นสีชมพู แสงแดดอุ่นๆที่กระทบใบหน้า ผืนหญ้าที่นุ่มนวล สายลมเย็นแผ่วเบา อืม...... ไม่ได้รู้สึกผ่อนคลายขนาดนี้มานานแล้วแฮะ
ผมนั่งลงที่พื้นหญ้า สัมผัสอ่อนนุ่มของมันทำให้ผมรู้สึกผ่อนคลายอย่างบอกไม่ถูก ผมหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาถ่ายรูปต้นซากุระที่อยู่เบื้องหน้าแล้วอัพลงอินสตาแกรมดูบ้าง อย่างน้อยๆอาจจะมีใครสักคนชอบรูปนี้นะ น่าขำที่ผมยอมเสียค่าบริการอินเตอร์เน็ตแพงหูฉี่เพื่อที่จะโพสต์รูปที่ไม่มีใครน่าจะสนใจหรือเห็นมันด้วยซ้ำ “ไร้เพื่อน ไร้ตัวตน” นั่นผมเอง
“ตึ๊ง” น่าแปลก มีเสียงแจ้งเตือนขึ้นมาจากโทรศัพท์ ให้ตายเถอะ พึ่งเติมเงินไปเมื่อตอนเดินออกจากโรงแรมเองนี่นา เอ๊ะ! ไม่ใช่แฮะ มีคนแสดงความเห็นบนรูปนี่นา
“That’s me in ur pic”
“นั่นฉันอยู่ในรูปคุณนี่”
ตายโหง นี่เราไปละเมิดความเป็นส่วนตัวอะไรเขาเข้าล่ะเนี่ย ให้ตายเถอะ ผมรีบส่งข้อความส่วนตัวไปขอโทษเธอในทันที แต่โชคดีนิดหน่อยที่เธอไม่ว่าอะไร โล่งอกไปที ที่นี่การละเมิดความเป็นส่วนตัวนี่ถึงกับขึ้นโรงพักได้เลยนะเนี่ย ผมนั่งจ้องรูปนั้นอยู่เนิ่นนาน “แค่นี้ก็พอแล้วล่ะนะสำหรับทริปนี้” ยังไงซะก็ไร้ตัวตนอยู่ดีแหละน่า
มีคนเดินมาข้างหลัง ผมไม่ทันหันไปมองด้วยซ้ำ มันมาเร็วมาก และตอนนี้ คนๆนั้นนั่งลงข้างผมอย่างรวดเร็วราวกับร่างกายนั้นมีแรงดึงดูดมหาศาลต่อพื้นโลกก็ว่าได้ เธอเป็นสาวตัวเล็ก ผมสั้น..... ให้ตายสิ เหมือนดอกซากุระเลย ผิวเธอขาวผุดผ่อง แก้มสีชมพูระเรื่อ ริมฝีปากสีแดงสดนั่น
“ตามหาซะนานเลย ดีนะที่ดูมุมกล้องเลยรู้ว่าเป็นคุณ” เธอพูดอังกฤษสำเนียงญี่ปุ่นจ๋าเสียงสดใส แววตาของเธอเป็นประกายเป็นน้ำที่อยู่ในสระกลางสวน ผมอึ้งเล็กน้อย ใช่เธอจริงๆด้วย ผมอ้ำอึ้งไม่รู้ว่าควรจะพูดว่าอะไร เลยหยิบมือถือขึ้นมาเพื่อเปิดรูปนั้น ขอโทษเธออีกครั้งและกำลังจะลบ เธอรีบห้ามไว้ด้วยภาษามือที่ดูเก้ๆกังๆ
“ฉันชื่อรูบี้นะ ไม่ชอบชื่อญี่ปุ่นของตัวเอง ยินดีที่ได้รู้จัก” เธอแนะนำตัวเสียงเจื้อยแจ้ว นั่นสินะ ผู้หญิงตัวเล็กมักมีพลังบวกเยอะอยู่แล้วนี่ ผมแนะนำตัวผมบ้าง เรานั่งพูดคุยกันเล็กน้อยก่อนที่เธอจะอาสาพาผมไปเดินเล่น ผมบอกกับเธอไปตามตรงว่าผมนั้นจนกรอบอย่างแรง เธอไม่ได้รังเกียจอะไรนะ ก็แหงล่ะ นี่ทัวร์อาสานี่เนอะ
เราเดินพูดคุยกันไปเรื่อยๆเกี่ยวกับชีวิตของตัวเอง เธอเองก็เป็นฟรีแลนซ์เช่นกัน ใช้ชีวิตคนเดียวในเมืองใหญ่ อ้อใช่ เธอเองก็พึ่งจะเรียนจบไม่ต่างกันจากผมนักหรอก กราฟิกคดีไซเนอร์ คืออาชีพของเธอ แต่ก็ไม่ได้ทำประจำ เธอพูดแบบนั้น ชีวิตของเธอนั้นน่าเบื่อ เปล่า ผมไม่ได้พูดนะ เธอต่างหาก ก็นั่นแหละ ผมเข้าอกเข้าใจดีเลยล่ะ กับคนที่ต้องอยู่คนเดียวท่ามกลางคนเป็นล้านมันรู้สึกยังไง
เธอพาผมเดินไปซื้อไอศกรีมข้างทาง เธอบอกว่าตั้งแต่เข้ามหาลัยก็เห็นร้านนี้ตั้งอยู่แล้ว เธอซื้อแบบหักครึ่งได้มาแบ่งให้ผมซีกนึง ใจดีจริงๆ เลี้ยงไอศกรีมคนแปลกหน้าเนี่ยนะ อีกอย่าง อากาศมันเย็นกว่าที่กรุงเทพหลายขุมขนาดนี้ ใครจะกินลงกันเล่า
แค่เสี้ยววินาที ผมแอบชำเลืองมองเธอ ท่าทางมีความสุขกับไอศกรีมนั่น ทำให้ผม..... เหมือนลืมหายใจไป เธอหันมายิ้มให้ผมที่ทำหน้าเหลอหลาเพราะทำตัวไม่ถูก “เธอ.... น่ารักจัง” ไม่สิ คิดแบบนั้นไม่ได้ ผมสลัดความรู้สึกนั้นทิ้งไป เดินตามเธอต้อยๆในขณะที่เธอยังคงพูดเจื้อยแจ้วตลอดเวลา
ไอศกรีมละลายคามือ เธอถามว่าไม่อร่อยเหรอ เปล่าเลย มัน อร่อยมาก มันหวานและหอม เหมือนกับท่าทีของเธอตั้งแต่ที่เจอกัน บางที จิตใจของผมอาจอ่อนไหวเกินไปกับเรื่องแบบนี้ ผมก็แค่ คนเหงาที่หนีความเหงามาเหงาในที่ๆไกลกว่าแค่นั้นนี่นา เธอพาผมไปล้างมืออยู่ก๊อกน้ำในสวน... น้ำเย็นมาก แต่ใบหน้าของผม กลับอุ่น
ผมอาสาเลี้ยงมื้อเที่ยงเธอ ไม่สิ จริงๆแล้วก็บ่าย เธอเลือกร้านที่เธอชอบไปกินสมัยมัธยม เจ้าของร้านใจดีมากๆเลยแหละ กลิ่นในร้านหอมอบอวลไปด้วยน้ำซุป ทั้งๆที่ก็พึ่งจะช่วงบ่าย แต่กลับรู้สึกเหมือนอาหารเย็นอันอบอุ่นกับครอบครัว อาหารไม่แพงมากนัก แต่ประสบการณ์นี้แพงมาก มัน ค่อยๆเปิดให้ผมรู้สึก อบอุ่นขึ้นทีละนิด
เธอพาผมไปที่ย่านอะกิฮะบะระในช่วงราวบ่ายสอง ผู้คนพลุกพล่านเต็มไปหมด เงาของตึกรามบดบังแสงอาทิตย์ช่วงบ่ายที่เริ่มร้อนได้เป็นอย่างดี เธอพาผมมายังที่ๆผมเคยเห็นแต่ในหนังเท่านั้น และไม่คิดเลยว่าจะได้มาเจอของจริงที่นี่ ผมถ่ายรูปเซลฟี่บ้างเป็นบางครั้ง.... นานแค่ไหนแล้วที่ไม่เคยทำแบบนี้ เธอแทรกเข้ามาในรูปหนึ่งขณะที่ผมกำลังกดชัตเตอร์อยู่พอดี เธอบอกให้ถ่ายรูปเธอบ้างเพื่อเป็นที่ระลึก เธอเอง ก็หยิบโทรศัพท์ของเธอมาถ่ายรูปผมไว้เช่นกัน ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ผมเริ่มยิ้ม ยิ้ม และหัวเราะอีกครั้ง หลังจากไม่ทำมันเลยมานานมาก
เริ่มเย็นแล้ว อากาศก็เย็นลงตามไปด้วย ท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนเป็นสีส้มตามกาลเวลาที่พระอาทิตย์จะทำหน้าที่ของมัน เธอชวนผมเดินรอบสวนอีกครั้งนึง ผมเองก็ยินดี ยินดีอย่างยิ่งที่จะเดินเล่นไปพร้อมๆกับเธอ เราเดินกันช้าๆ แสงแดดยามเย็นสีส้มละมุนละไม กลีบดอกซากุระร่วงลอยตามแรงลม พัดโชยกลิ่นหอมของทั้งต้นซากุระ และ.... กลิ่นของเธอ ช่างสดใส อบอุ่น และปลอดภัย น่าแปลกที่ถึงจะเป็นเมืองใหญ่ แต่ในเวลานี้ ที่นี่กลับรู้สึกสงบอย่างไม่น่าเชื่อ
ผมมองตามข้างทาง เห็นหลายครอบครัวออกมาปิกนิก บ้างเป็นคู่รักที่นั่งพลอดรักกัน กลุ่มเพื่อนที่เล่นเฮฮา ทำไม ผมถึงพึ่งจะเคยเห็นมัน หรือตลอดเวลานั้น ผมไม่เคยสนใจรอบข้างเลยด้วยซ้ำ เราพูดคุยกันน้อยลง แต่กลับสำคัญขึ้น หลังจากกลับไปแล้วจะทำอะไรต่อดีนะ หลังจากนี้เธอจะทำอะไร ผมเองก็เช่นกัน เราทั้งคู่เริ่มเงียบ เป็นสัญญาณว่าวันนี้กำลังจะหมดแล้ว
ไม่รู้ว่าตั้งใจหรือบังเอิญ มือของเราสองคนเกิดสัมผัสกัน ผมหยุดนิ่งและใจเต้นระส่ำ เหลือบมองเธอวูบหนึ่งก่อนรีบหันหน้ากลับอย่างรวดเร็ว สายลมพัดมาอีกครั้งหนึ่ง เธอยืนมือไปสัมผัสลมนั่นเบื้องหน้าผม มีกลีบดอกซากุระร่วงลงมาบนฝ่ามือ เธอจับมันใส่ในกระเป๋าเสื้อของผมอย่างแผ่วเบา สายตาสดใสของเธอบัดนี้เริ่มหมองเศร้า ผมเข้าใจดี ผมหันไปมองหน้าเธออีกครั้ง ปอยผมสั้นที่ปลิวตามแรงลมนั้น เป็นภาพที่ติดตาไม่ลืมเลยจริงๆ ผมยิ้มให้เธอเล็กน้อย เธอคว้ามือของผมเอาไว้ ไม่มีใครพูดจา เพียงเพราะทั้งหมดผมอยากจะเก็บมันไว้ในความทรงจำให้ลึกที่สุดเท่าที่จะทำได้ เราเดินจูงมือกันไปอย่างช้าๆเพื่อรอเวลาตะวันลาลับ
“งานเลี้ยงย้อมมีวันเลิกรา” เธอเดินมาส่งผมถึงหน้าโรงแรม ผมปล่อยมือจากเธอแล้วเดินออกมาก้าวหนึ่ง ก่อนจะหันไปโค้งให้กับเธอและลองกล่าวขอบคุณเป็นภาษาญี่ปุ่น เธอไหว้ผมหนึ่งครั้ง
“ขอบคุณค่ะ”
ใครกันต้องขอบคุณ.... ผมทิ้งเธอไว้เบื้องหลังและเดินขึ้นตึกของโรงแรมอย่างช้าๆ ไม่อยากให้วันนี้ผ่านไปเลยจริงๆ ผมหันไปมองเธออีกครั้ง เธอโค้งให้ผมครั้งหนึ่ง จึงพยักหน้าให้กับเธอ หมดแล้วสินะ วันที่แสนวิเศษ ขอบคุณครับ
เช้าวันรุ่งขึ้นผมต้องรีบออกเดินทางมาพร้อมกับทัวร์ที่เส็งเคร็งและน่าเบื่ออีกครั้ง เสียงจ้อกแจ้กน่ารำคาญของพวกมนุษย์ป้าทั้งหลายแหล่และพวกหนุ่มสาวที่เอาแต่เล่นจนน่าปวดหัวทำให้ผมรู้สึกหงุดหงิดตลอดเวลาจะถึงสนามบินนาริตะ เหตุก็เพราะว่าเมื่อคืนนี้ แพ็คเกจอินเตอร์เน็ตหมดกลางคันเสียตั้งแต่เข้าโรงแรมนั่นแหละ เลยเป็นเหตุผลที่ผมมานั่งเขียนบันทึกนี้ยังไงล่ะ ให้ตายสิ น่าเบื่อชะมัด
หลังจากสี่ชั่วโมงอันทรมานจากเครื่องบินและอีกสองชั่วโมงบนถนนที่รถติดแหง็กและความเมื่อยล้าเต็มแก่ ผมทิ้งตัวลงบนที่นอนทันทีที่กลับถึงอพาร์ทเมนท์ทั้งๆที่ไม่ได้ถอดรองเท้าด้วยซ้ำ กลับมาแล้วนะเมืองไทย พร้อมจะเข้าสู่ลูปนรกแห่งการติดจั่นรึยัง
ผมเสียบที่ชาร์จแบตมือถือพร้อมๆกับหลับไปทั้งสภาพนั้น จนกระทั่งเสียงของโทรศัพท์ดังขึ้น
“Ruby เริ่มติดตามคุณ”
ความคิดเห็น